วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ตัวหนังสือ จึงยังไม่มีเอกสารใดๆที่จดบันทึกเรื่องราวให้มนุษย์ยุคหลังได้ทราบ การศึกษาเรื่องราวในสมัยก่อนประวัติศาสตร์จึงต้องอาศัยการสันนิษฐานและการตีความจากหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางสภาพแวดล้อม

สมัยก่อนประวัติศาสตร์สามารถแบ่งเป็น ยุค   ได้แก่ยุคหินและยุคโลหะ
นายเอ เอฟ จี แคร์ ( A.F.G.KERR)ได้ค้นพบภาพเขียนสีครั้งแรกในพ.ศ.๒๔๖๗ ที่ถ้ำมือแดง บ้านส้มป่อย ตำบลสีบุญเรือง อำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม  เป็นภาพที่ทำขึ้นโดยใช้มือจุ่มสีประทับบนผนังถ้ำหรือเขียนเป็น      ภาพมือ  มีทั้งมือสีแดงและสีเทารวม ๑๐ มือด้วยกัน และยังมีภาพคนยืน ๖ คน

ยุคหิน (Stone Age)
ยุคหินแบ่งออกเป็นยุคย่อย ยุค คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคใหม่

1. ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Old Stone Age) 
ประมาณ 2,500,000-10,500 ปีมาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้เริ่มทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยหินอย่างง่ายก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้งานเครื่องมือหิน มนุษย์ใช้วัสดุจำพวกหินไฟ ซึ่งในยุคสมัยนี้สามารถแบ่งเครื่องมือยุคหินเก่าออกเป็น ช่วง คือ

ยุคหินเก่าตอนต้น ประมาณ 2,500,000 – 180,000ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยหินมีลักษณะเป็นขวานกระเทาะแบบกำปั้นn
ขวานหินยุคหินเก่า อายุประมาณ 700,000 ปีมาแล้ว 
พบที่โอลดูเว่ (Olduvai) ประเทศแทนซาเนีย
 

ยุคหินเก่าตอนกลาง ประมาณ 180,000 – 49,000 ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินมีลักษณะแหลมคม มีด้ามยาวขึ้น และมีประโยชน์ในการใช้สอยมากขึ้น  
  
ยุคหินเก่าตอนปลาย ประมาณ 49,000 – 10,500 ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้มีความหลากหลายกว่ายุคก่อน ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินและกระดูกสัตว์โดยการแกะสลัก เช่น เข็มเย็บผ้า ฉมวก หัวลูกศร และทำเครื่องประทับด้วยเปลือกหอยและกระดูกสัตว์

 
    ลักษณะสังคมในยุคหินเก่าเป็นสังคมล่าสัตว์ เนื่องจากมนุษย์ในยุคนี้ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาพืชผักผลไม้จากป่าเป็นอาหาร เร่ร่อนอพยพตามฝูงสัตว์ และแสวงหาแหล่งที่อยู่ที่อุดมสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ และพบว่าในช่วงปลายยุคหินเก่ามนุษย์มีความสามารถทางด้านศิลปะ ซึ่งพบภาพวาดตามผนังถ้ำที่ใช้ฝุ่นสีต่างๆ ได้แก่   สีดำ น้ำตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ป่า เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง และกวางเรนเดียร์ ภาพวาดที่มีชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้ำลาสโก ประเทศฝรั่งเศส
     สภาพสังคมที่มีลักษณะของการอยู่รวมกันเป็นครอบครัว เป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อการดำรงชีวิตมีการจัดระเบียบของกลุ่มทั้งด้านความร่วมมือและการแบ่งหน้าที่กัน ผู้ชายออกล่าสัตว์ ผู้หญิงดูแลเด็กและหาผลไม้ ลักษณะทางสังคมก่อให้เกิดสิ่งสำคัญ คือ เครื่องมือและภาษาพูด ซึ่งนำไปสู่การถ่ายทอดและพัฒนาความรู้ของมนุษย์
2.ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age)
ประมาณ 10,500 – 10,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในช่วงนี้เริ่มทำเครื่องจักรสาน เช่น ตะกร้าสาน ทำรถลาก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินในยุคนี้มีความประณีตมากขึ้น ตลอดจนรู้จักนำสุนัขมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยง
ในยุคหินกลาง มนุษย์รู้จักเลี้ยงสัตว์และเริ่มมีการเพาะปลูก แต่อาชีพหลักของมนุษย์ในยุคนี้ยังคงเป็นการล่าสัตว์ และยังเร่ร่อนไปตามแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ โดยมักตั้งหลักแหล่งอยู่ตามแหล่งน้ำชายฝั่งทะเล และบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประกอบอาชีพประมง ล่าสัตว์


3.ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age)
ประมาณ 10,000 – 4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์การเพาะปลูกได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์จากสังคมล่าสัตว์มาเป็นสังคมเกษตรกรรม ที่ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง มีการสร้างที่พักอาศัยถาวรเป็นกระท่อมดินเหนียว และตั้งหลักแหล่งตามบริเวณลุ่มน้ำ 

ยุคโลหะ (Metal Age)

โลหะชนิดแรกที่มนุษย์รู้จักนำมาหลอมเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ คือ ทองแดง ปรากฏหลักฐานในบริเวณลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติส แสดงว่ามนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณนั้นรู้จักนำทองแดงมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ก่อนที่จะรู้วิธีทำสำริด
ยุคโลหะแบ่งออกเป็น ยุคย่อย คือ ยุคทองแดง ยุคสำริด และยุคเหล็ก
1. ยุคทองแดง (Chalcolithic Age) มนุษย์ยุคนี้ได้มีการนำทองแดงมาทำอาวุธ สิ่งของเครื่องใช้และเครื่องประดับแต่ก็ยังคงมีเครื่องมือหินขัดใช้อยู่2. ยุคสำริด (Bronza Age) ยุคสำริดเริ่มต้นในภูภาคต่างๆ ของโลกเมื่อประมาณ 4,000 – 2,700 ปีมาแล้ว
3. ยุคเหล็ก (Iron Man)
 ช่วงเวลานี้เริ่มต้นจากพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีการผลิตโลหะของมนุษย์ที่สามารถหลอมโลหะประเภทเหล็กขึ้นมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ได้ เมื่อประมาณปี 2,700 – 2,000 ปีมาแล้ว
สำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก กรรมวิธีการทำสำริดค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่การหาแหล่งแร่ การเตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนั้นจึงเป็นการขึ้นรูปทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยการตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทรายหรือแม่พิมพ์ดินเผา
        เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคสำริดที่พบตามแหล่งต่างๆ ในภูมิภาคต่างๆ ของโลกนอกจากทำด้วยสำริดแล้ว ยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ทำจากดินเผา หิน และแร่ ในบางแหล่งมีการใช้สำริดต่อเนื่องมาจนถึงยุคเหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริดมีขวาน หอก ภาชนะ กำไล ตุ้มหู ลูกปัด ฯลฯ

   ในยุคนี้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งด้านการเมืองและสังคม ชุมชนเกษตรกรรมขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง จึงมีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ตามความสามารถ เช่น กลุ่มอาชีพ มีการจัดระเบียบสังคมเป็นกลุ่มชนชั้นต่างๆ ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการผลิต อันนำไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยกว่าเดิม และมีความสะดวกสบายมากขึ้น นำไปสู่พัฒนาการทางสังคมสู่ความเป็นรัฐในเวลาต่อมาแหล่งอารยธรรมที่สำคัญๆของโลกล้วนมีพัฒนาการทางสังคมจากช่วงเวลายุคหินใหม่และยุคสำริด เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชียตะวันตก แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์ในอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุในอินเดีย แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำหวางเหอในจีน ประมาณ 2,700-2,000 ปีมาแล้ว ช่วงเวลานี้เริ่มต้นจากพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีการผลิตโลหะของมนุษย์ที่สามารถหลอมโลหะประเภทเหล็กขึ้นมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ได้ เหล็กมีความแข็งแกร่งคงทนกว่าสำริดมาก การผลิตเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูงและมีกรรมวิธียุ่งยาก
        สังคมที่สามารถพัฒนาการผลิตเหล็กจะสามารถพัฒนาสู่ความเป็นรัฐ เพราะการผลิตเหล็กทำให้สังคมสามารถผลิตอาวุธได้ง่ายและแข็งแกร่งขึ้น จนสามารถขยายกองทัพได้ และมีเครื่องมือที่เหมาะสมต่อการทำการเกษตรที่มีความคงทนกว่า
แหล่งอารยธรรมแห่งแรกที่สามารถผลิตเหล็กได้ คือ แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว ยุคเหล็กมีความแตกต่างจากยุคสำริดหลายประการ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิต การผลิตเหล็กทำให้กองทัพมีอาวุธที่แข็งแกร่งนำไปสู่พัฒนาการทางสังคมจนกลายเป็นรัฐที่มีกำลังทหารที่เข้มแข็ง เข้ายึดครองสังคมอื่นๆ ขยายเป็นอาณาจักรในเวลาต่อมา

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมัยประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์
     ใปันจจุบันองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้กำหนดอายุยุคสมัยเพิ่มขึ้นมาอีก 1 สมัย เรียกว่า สมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Protohistorical Period) ซึ่งเป็นยุคสมัยที่มนุษย์ในสังคมนั้นยังไม่รู้จักใช้ตัวอักษรบันทึกเรื่องราวของตนเองแต่มีผู้คนจากสังคมอื่นซึ่งได้เดินทางผ่าน และได้บันทึกเรื่องราวถึงผู้คนเหล่านั้นไว้

สมัยประวัติศาสตร์

    สมัยประวัติศาสตร์เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ในสังคมนั้นรู้จักการเขียน มีตัวอักษรสำหรับใช้จดบันทึก ทำให้ชนรุ่นหลังสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ในอดีตได้ ทั้งนี้แต่ละสังคมจะเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ไม่พร้อมกัน การศึกษาประวัติศาสตร์สากลมีความแตกต่างกันระหว่างการศึกษาประวัติศาสตร์ตะวันออกกับประวัติศาสตร์ตะวันตก โดยประวัติศาสตร์ตะวันออกแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือศูนย์กลางอำนาจเป็นเกณฑ์ เช่น ประวัติศาสตร์จีน ใช้เกณฑ์ช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ในการแบ่งยุคสมัย ขณะที่ประวัติศาสตร์ตะวันตกใช้เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัย

การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ตะวันออก
     ในการแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันออกจัดแบ่งไปตามภูมิภาคต่างๆ เนื่องจากประวัติศาสตร์อารยธรรมของแต่ละภูมิภาคจะมีลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละภูมิภาคมีการจัดหลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยต่อไปนี้
การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ตะวันออก
1.การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีน แนวความคิดในการจัดแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีนใช้พัฒนาการทางอารยธรรมและช่วงเวลาที่ราชวงศ์ต่างๆ มีอำนาจในการปกครอง เป็นหลักเกณฑ์ในการจัดแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีน ซึ่งสามารถแบ่งยุคสมัยออกได้เป็นประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ (1570 ปีก่อนคริสต์ศักราช ค.ศ. 220) ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง(ค.ศ. 220 - 1368) ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่(ค.ศ.1368 -1911) และประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1911-ปัจจุบัน)
2.การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดียใช้หลักเกณฑ์พัฒนาการของอารยธรรมอินเดียและเหตุการณ์สำคัญเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ ดังนั้น ประวัติศาสตร์อินเดียจึงแบ่งยุคสมัยออกเป็นสมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยใหม่ โดยแต่ละยุคสมัยจะมีการแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือชนกลุ่มต่างๆที่มีอิทธิพลเหนืออินเดียในขณะนั้น
ช่วงเวลาการวางพื้นฐานของอารยธรรมอินเดียเริ่มตั้งแต่สมัยอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุของพวกดราวิเดียนเมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งอารยธรรมแห่งนี้ล่มสลายลงเมื่อ 1,500  ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและก่อตั้งอาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่แท้จริง มีการคิดค้นและก่อตั้งศาสนาต่างๆ ช่วงเวลาดังกล่าวเรียกว่า สมัยพระเวท(1,500-900 ปีก่อนคริสต์ศักราช )